วันเสาร์, 2 สิงหาคม 2568

คณะทูตและสื่อนานาชาติลงพื้นที่ชายแดนให้ความสนใจในข้อมูลพยานหลักฐานที่รัฐบาลไทยนำเสนอ ยืนยันการตอบโต้เป็นไปตามสิทธิป้องกันตนเองหลังถูกโจมตีเป้าหมายพลเรือนด้วยอาวุธรุนแรง พร้อมประณามการบิดเบือนข้อมูลอย่างจงใจของกัมพูชา

01 ส.ค. 2025
45

วันนี้ (ศุกร์ที่ 1 ส.ค. 2568) เวลา 10.40 น. ณ มทบ.22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า รัฐบาล โดย ศบ.ทก. กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักนายกรัฐมนตรี และกรมประชาสัมพันธ์ ได้นำคณะเอกอัครราชทูต 3 ประเทศ (บรูไน ญี่ปุ่น เมียนมา) อุปทูต 2 ประเทศ (มาเลเซีย สปป.ลาว) ผู้แทนทางการทูตระดับต่าง ๆ 6 ประเทศ (อินโดนีเซีย สหรัฐฯ สิงคโปร์ จีน เวียดนาม ฟิลิปปินส์) และทูตทหาร รวม 23 ประเทศ (อาทิ จีน มาเลเซีย ปากีสถาน เกาหลีใต้ รัสเซีย สิงคโปร์ อินเดีย แคนาดา ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์)
พร้อมสื่อมวลชนไทยและสื่อมวลชนต่างประเทศรวมกันจำนวน150คน(อาทิ Agencia EFE, AFP, Asahi Shimbun, CNN, CCTV, CMG, NHK, Reuters, Xinhua) รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย และข้อเท็จจริงเรื่องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชา

  ทั้งนี้ รัฐบาลได้มอบหมายให้ 1)นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 2)พล.ต. นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 3)พล.ต. วินทัย สุวารี โฆษกกองทัพบก และ 4)พ.อ. พัฒนา พันธุ์มงคล ผู้แทนกรมข่าวทหารบก  และ 5) ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี บรรยาย พ.อ. พัฒนา พันธุ์มงคล ผู้แทนกรมข่าวทหารบก  กล่าวสรุปดังนี้ 
  1. ลำดับเหตุการณ์และข้อเท็จจริงฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุตั้งแต่ต้นปี 2568 ผ่านกิจกรรมทั้งทางทหารและพลเรือน ได้แก่ การพานักท่องเที่ยวร้องเพลงปลุกใจในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม (13 ก.พ.), การเผาศาลาตรีมุข (28 ก.พ.), การดัดแปลงภูมิประเทศแนวชายแดนเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร (มี.ค.–เม.ย.), การเสริมกำลังและยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดน (เม.ย.–พ.ค.) รวมถึงการลักลอบขุดคูติดต่อในเขตไทย และการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ทำให้ทหารไทยขาขาด 2 นาย และบาดเจ็บอีกหลายราย ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ ยังมีการส่งมวลชนและทหารในเครื่องแบบ-นอกเครื่องแบบมาจัดกิจกรรมยั่วยุในพื้นที่ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือน ทำให้เกิดการปะทะกับคนไทยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยจึงใช้มาตรการควบคุมชายแดน โดยการล้อมรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันการบุกรุก แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงยกระดับการโจมตี โดยเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 68 ทหารกัมพูชายิงใส่ทหารไทยก่อนบริเวณปราสาทตาเมือนธม ก่อนจะยกระดับ ความรุนแรง ขยายเป็นการใช้ปืนใหญ่และจรวด BM-21 โจมตีเป้าหมายพลเรือนลึกเข้าไปในประเทศไทย เช่น รพ.พนมดงรัก ปั๊มน้ำมันบ้านผือ ร้านสะดวกซื้อ โรงเรียน และบ้านเรือนในสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี มีผู้บาดเจ็บ 15 ราย เสียชีวิต 36 ราย (รวมเด็ก 1 คน) และต้องอพยพมากกว่า 150,000 คน ฝ่ายไทยจึงตอบโต้ภายใต้หลักการป้องกันตนเอง (ตามArticle 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ) อย่างจำเป็นและได้สัดส่วน โดยมีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายิงจากเขตพลเรือนและใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์
  2. สถานการณ์ปัจจุบัน
    หลังการเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 68 ฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงต่อเนื่อง โดยในช่วงหลังเที่ยงคืนได้บุกรุกพื้นที่ 6 จุด ได้แก่ Chong Bok (อุบลราชธานี), Sam Tae, Pha Mor E Daeng, Phu Ma Khua/Khanmar, Phlan Yao (ศรีสะเกษ), และปราสาทตาควาย (สุรินทร์) โดยการละเมิดยังดำเนินต่อถึงวันที่ 30 ก.ค. เวลา 05.10 น. ตามภาพหลักฐาน

ล่าสุด วันที่ 31 ก.ค. 68 พบว่ากัมพูชาเพิ่มกำลังตามแนวชายแดน และใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ล้ำเข้ามาในเขตไทยเพื่อสอดแนม ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ที่บ่งชี้ถึงความไม่จริงใจในการเคารพข้อตกลงหยุดยิง

  1. การตอบโต้การบิดเบือนข้อมูลของฝ่ายกัมพูชา
    ซึ่งได้เผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนหลายประเด็น ได้แก่ (1) กล่าวหาว่าไทยรุกรานและละเมิดอธิปไตย ซึ่งไทยยืนยันว่าปฏิบัติตาม Article 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด และมีสิทธิตอบโต้ด้วยความจำเป็นและได้สัดส่วน (2) กล่าวหาไทยใช้ระเบิดเคมี ซึ่งเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง ไทยไม่มีการใช้หรือครอบครองอาวุธเคมี การอ้างภาพระเบิดเคมี เป็นภาพจากเหตุการณ์ดับไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย ปี 2022 (3) กล่าวหาว่าไทยใช้ F-16 และอาวุธหนักเพื่อโจมตี ซึ่งไม่เป็นความจริง อาวุธทุกชนิดที่ใช้เพื่อการป้องกันตนเองและใช้เฉพาะเป้าหมายทางทหาร

(4) กล่าวหาไทยทิ้งระเบิด MK-84 ใส่บ้านเรือนประชาชน โดย CMAC ของกัมพูชานำเสนอภาพเก่าและอ้างว่าเป็นของไทย ทั้งที่เป็นวัตถุระเบิดเก่าสมัยสงครามเวียดนาม ไทยปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างสิ้นเชิง และขอให้กัมพูชาหยุดเผยแพร่ข้อมูลเท็จ พร้อมเชิญชวนให้ร่วมมือกับไทยและประชาคมโลกเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ด้วยสันติวิธี

(5) ไทยขอยืนยันว่าเหตุปะทะครั้งนี้เกิดจากการโจมตีก่อนของฝ่ายกัมพูชา โดยใช้อาวุธระยะไกลโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทั้งที่มีการเจรจาหยุดยิงแล้ว ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงและปล่อยข้อมูลบิดเบือนอย่างเป็นระบบ ไทยขอให้ประชาคมระหว่างประเทศติดตามสถานการณ์อย่างเข้าใจ และร่วมผลักดันให้เกิดการเจรจาแบบทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาภายใต้หลักสันติวิธี

ขณะที่ นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวยืนยัน
การลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการที่เปิดกว้าง โดย คณะทูตประเทศอาเซียน 8 ประเทศ และประเทศที่เป็นพยานการเจรจาหยุดยิง ทูตทหารรวมถึงสื่อมวลชนไทยและสื่อต่างประเทศ เพื่อเน้นย้ำถึงความความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่ใช่การนำเสนอข้อมูลที่ถูกควบคุมและชี้นำ ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับเสรีภาพของสื่อมวลชน

 โดยวัตถุประสงค์วันนี้ เพื่อสื่อสารให้ประชาคมโลกได้รับทราบข้อมูลที่แท้จริงในพื้นที่ ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจาบนหลักการและความถูกต้องและจริงใจ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีภายใต้กรอบทวิภาคีได้ในที่สุด  รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงจุดยืนและการดำเนินการของไทยว่ายืนอยู่บนหลักการกฏหมายระหว่างประเทศ ที่จะให้การเจรจาทวิภาคีอย่างสันติวิธีในการแก้ไขปัญหา ได้ใช้ความอดกลั้นมาโดยตลอด และการป้องกันตนเองตามแนวทางกฏบัตรสหประชาชาติ และกฏหมายระหว่างประเทศ

นายรัศม์ยังย้ำว่า ท่ามกลางการนำเสนอข้อมูลที่ขัดแย้งกันระหว่างสองฝ่าย สิ่งหนึ่งที่มีหลักฐานชัดเจน คือ กัมพูชาได้โจมตีโรงพยาบาล โรงเรียน บ้านเรือน ร้านค้า ปั๊มน้ำมันในพื้นที่ชุมชนอย่างหนัก ทำให้สตรี เด็กและประชาชนที่ไม่มีอาวุธต้องสูญเสียชีวิต ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ทหารไทยจำเป็นต้องโต้ตอบเพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตของประชาชนไทย

จากนั้น ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้รายงานถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ว่า ขณะนี้มีการอพยพพี่น้องประชาชนมากกว่า 20,000 คน ไปยังศูนย์พักพิงและศูนย์อพยพในพื้นที่กว่า 68 แห่ง ซึ่งอยู่ห่างจากแนวพรมแดนประมาณ 70 กิโลเมตร โดยการอพยพดังกล่าวได้สร้างความยากลำบากในการดำเนินชีวิตของประชาชน ทั้งยังมีการปิดโรงพยาบาล 3 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอีก 20 แห่ง โดยชาวจังหวัดอุบลราชธานีได้รับความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน มีพลเรือนเสียชีวิต 1 ราย และมีความเสียหายต่อทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก
นายจิรายุกล่าวต่อไปว่าหลังการรับฟังบรรยายสรุปแล้วในช่วงบ่าย จะพาคณะไปดูจุดที่ถูกกัมพูชายิงถล่มเข้าใส่พื้นที่ใช้งานของพลเรือน อาทิ โรงพยาบาลโรงเรียนและพื้นที่สาธารณะของพลเรือน ต่อไป

cr:ภาพ/ข่าว สนง.ประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา